12 เทคโนโลยี ช่วยเสริมธุรกิจ SME
  1. E-Commerce : ช่องทางขายผ่านออนไลน์

ทำธุรกิจซื้อ-ขาย แค่มีหน้าร้านไม่พอ ต้องมีช่องทางออนไลน์ด้วย เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ ๆ ให้ลูกค้าเข้าถึงเราง่ายยิ่งขึ้น ช่องทางขายผ่านออนไลน์ มีทั้ง e-Commerce เว็บไซต์ขายของที่สร้างขึ้นเอง และ e-Marketplace ช่องทางขายผ่านเว็บไซต์ตัวกลาง เช่น Shopee Lazada เป็นต้น

เพื่อความรวดเร็วและแม่นยำในการขายร่วมกับ e-Commerce จะต้องมีระบบที่ดีที่ช่วยเชื่อมต่อหลังบ้าน e-Commerce สามารถทำบัญชี จัดการสต๊อกได้

  1. เทคโนโลยี IoT : เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ให้กลายเป็น Smart Device

อีกหนึ่งเทรนด์เทคโนโลยีมาแรงที่กำลังได้รับความนิยมมาก ๆ ในยุคนี้ก็คือ Internet of Things (IoT) หรือไอโอทีนั่นเอง ซึ่งมีการคาดการณ์เอาไว้ว่า ในปี 2025 จะมีอุปกรณ์ IoT ประมาณ 75 พันล้านชิ้น

 

IoT เป็นการนำเอาเทคโนโลยีมาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานให้กลายเป็น Smart Device อย่างเช่น หลอดไฟอัจฉริยะที่สามารถควบคุมการเปิดปิดผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือได้ , ลำโพงที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง

 

หรือตัวอย่าง use case ของระบบประกันภัยไทยวิวัฒน์ที่ใช้ IoT ติดตามการใช้งานรถเพื่อเสนอทางเลือกในการทำประกันภัยตามการใช้งานจริงของลูกค้า

  1. เทคโนโลยี Edge Computing : เข้ามาช่วยในเรื่องความเร็วและความปลอดภัย

Edge Computing เป็นเทคโนโลยีที่มีลักษณะคล้าย Cloud Computing แต่ถูก scope ลดขนาดลงมาให้เล็กกว่า เพื่อนำมาใช้ในการเชื่อมต่อกับพวกระบบ IoT หรือไว้สำหรับกรองข้อมูลก่อนที่จะส่งไปเก็บไว้บนคลาวด์อีกทีนั่นเอง โดย Edge Computing จะเข้ามาช่วยในเรื่องความเร็วและความปลอดภัย ซึ่งแนวโน้มการนำ AI และ Edge Computing มาใช้ในประเทศไทย น่าจะเพิ่มสูงขึ้นมาก หลังจากที่มีเทคโนโลยี 5G เข้ามา

 

ตัวอย่างการใช้งาน Edge Computing เช่น การติดตั้งอุปกรณ์เพื่อติดตามข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ หรือข้อมูลการขนส่งสินค้าต่าง ๆ

  1. เทคโนโลยี Cyber Security : ช่วยปกป้องเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและระบบ

Cyber Security เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยปกป้องเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและระบบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า , ข้อมูลการทำธุรกรรม หรืออย่างล่าสุดที่พึ่งมีข่าวว่าระบบของโรงพยาบาลสระบุรีถูกแฮกข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ อันนี้ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ยิ่งเทคโนโลยีเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งพบว่ามีเคสเหล่านี้เกิดขึ้นให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Cyber Security จึงจะเข้ามามีบทบาทช่วยป้องกันการโจมตีที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นได้

 

ทุกธุรกิจจึงควรใช้ Cyber Security ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การขนส่ง สุขภาพ อีคอมเมิร์ซ และอื่นๆ เพราะความปลอดภัยถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำธุรกิจทุกประเภท

  1. เทคโนโลยี API : เป็นเสมือนประตูที่เปิดให้ระบบอื่น ๆ สามารถเข้าถึงได้

API – ย่อมาจากคำว่า Application Programming Interface เปรียบเสมือนประตูที่เปิดให้ระบบอื่น ๆ สามารถเข้าถึงได้ โดยการรับ-ส่งคำสั่งต่าง ๆ ผ่านประตูนี้

 

ธุรกิจที่ใช้หลาย ๆ โปรแกรม หากไม่มี API เข้ามาช่วย ข้อมูลแต่ละโปรแกรมจะไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้แบบอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องคีย์ข้อมูลชุดเดียวกันทุกโปรแกรม เป็นการทำงานที่ซ้ำซ้อน เสียเวลา และอาจผิดพลาดได้ง่าย

  1. Data Analytics : ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลให้เข้าใจได้ง่าย ๆ

ในปัจจุบันข้อมูลเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมาก เพราะธุรกิจมักจะขับเคลื่อนด้วยข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการซื้อ สามารถนำไปต่อยอดทำการตลาดที่ตรงจุดได้ แต่การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีตัวช่วยอาจทำให้ปวดหัวเลยทีเดียว

 

เครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลให้เข้าใจได้ง่าย ๆ นั่นก็คือ Data Analytics เป็นเครื่องมือช่วยในการตรวจสอบและทำการวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกได้

  1. เทคโนโลยี Big Data : แหล่งเก็บข้อมูลที่สามารถนำมาต่อยอด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจมากขึ้น

ข้อมูล หรือ data เป็นสิ่งที่เติบโตไปพร้อมกับขนาดของธุรกิจ ยิ่งธุรกิจของเรามีปริมาณการใช้งานมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีข้อมูลที่สามารถนำมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจของเรามากขึ้นเท่านั้น

 

ปัจจุบันมีการนำ Big Data มาวิเคราะห์และสร้างโอกาสในการทำธุรกิจให้เห็นกันเยอะมาก อย่างเช่น แอปพลิเคชั่น SCB Easy ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่มี AI และ Big Data เก็บข้อมูลจากไลฟ์สไตล์การใช้งานของลูกค้า ยิ่งลูกค้าใช้งานมากระบบก็จะยิ่งรู้ใจลูกค้ามากขึ้น และเสนอฟังก์ชันการใช้งานได้ตรงใจและตอบโจทย์ลูกค้า

 

ข้อดีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของ Big Data คือช่วยให้เราประเมินความคิดเห็นของลูกค้าสะดวกและง่ายขึ้น นอกจากนี้ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวม และมีความได้เปรียบคู่แข่งอีกด้วย

 

สำหรับธุรกิจขนาดย่อยที่พึ่งเริ่มต้น อาจจะยังไม่ได้มีปริมาณข้อมูลมหาศาลขนาดนั้น เราก็สามารถเริ่มต้นเก็บข้อมูลไว้ก่อนได้ตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ แล้วหยิบมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในแบบที่เรียกว่า “Small Data” ก็ได้นะ อย่างเคสตัวอย่างของร้านกาแฟ Class Cafe ที่มีการเก็บข้อมูลการใช้บริการของลูกค้าตั้งแต่เรื่องเล็กๆ แล้วนำมาต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดและอยู่รอดในช่วงวิกฤตได้

  1. Cloud Platform : เป็นตัวช่วยเก็บเอกสารเป็นไฟล์ออนไลน์ ยืดหยุ่น ปลอดภัยและประหยัด

Cloud เป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลที่ยืดหยุ่น ปลอดภัยและประหยัดได้มากกว่า จากเดิมที่เก็บข้อมูลเป็นเอกสาร ต้องหาพื้นที่ในการเก็บแฟ้มจำนวนมาก อีกทั้งหาข้อมูลยากใช้เวลานาน

 

แต่เมื่อใช้ Cloud มาช่วย ทำให้สามารถเก็บเอกสารเป็นไฟล์ออนไลน์ได้ ช่วยประหยัดพื้นที่ หาข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการหาย และยังมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการใช้งานแบบ Server อีกด้วย

  1. Automation : ช่วยประหยัดเวลาและทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว

การทำธุรกิจต้องเร็วและแม่นยำ งานบางอย่างที่มีความซับซ้อน หรืองานที่ต้องทำซ้ำ ๆ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้เป็นอัตโนมัติได้ ช่วยประหยัดเวลาและทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว

 

ตัวอย่างการใช้ระบบ Automation ในธุรกิจ เช่น ระบบบัญชี ที่ทำให้การบันทึกบัญชีง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

  1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) : ใช้เลียนแบบการทำงานสติปัญหาของมนุษย์

AI ในยุคนี้ถือได้ว่าเป็น New Normal สำหรับภาคธุรกิจออนไลน์เลยก็ว่าได้ เพราะข้อมูลตามรายงานคาดการณ์รายได้ของตลาด AI ทั่วโลกในปี 2025 จะเติบโตสูงถึง 126 พันล้านเหรียญสหรัฐ

 

AI ถูกนำมาใช้แทนส่วนงานที่เป็นการตัดสินใจแบบมีรูปแบบค่อนข้างตายตัว เลียนแบบการทำงานสติปัญหาของมนุษย์

 

ยกตัวอย่างการนำ AI มาใช้ในธุรกิจออนไลน์ เช่น Chatbots ของธนาคารกสิกรไทยชื่อ “ขุนทอง” (KhunThong) ที่มาช่วยเรื่องการหารบิล หรือจะเป็นแชทบอทของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ชื่อ “เพิ่มพูน” ที่มาช่วยตอบคำถามด้านการลงทุน

 

AI มีประโยชน์ต่อธุรกิจออนไลน์ในแง่ของประสิทธิภาพการให้บริการที่ดีขึ้น , การลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ

  1. เทคโนโลยี Blockchain : เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานของธุรกิจออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

หลักการทำงานคร่าว ๆ ของ Blockchain ก็คือ “ตรวจสอบได้ ปลอดภัยสูง” มีการเก็บข้อมูลชุดเดียวกันแบบกระจาย ทำให้ทุกธุรกรรมสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้หมด ส่วนมากบล็อกเชนจึงถูกนำมาใช้งานกับธุรกิจการเงิน แต่จริง ๆ แล้ว คอนเซ็ปต์ของบล็อกเชนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อีกหลากหลายธุรกิจเลยล่ะ

 

อย่างเช่นล่าสุดที่พึ่งมีข่าวออกมา สตาร์บัคได้นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการเก็บข้อมูลเมล็ดกาแฟ เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ว่ากาแฟแก้วที่เรากำลังดื่ม ใช้เมล็ดกาแฟจากที่ไหน ใครเป็นคนปลูก

 

ข้อดีของเทคโนโลยี Blockchain สำหรับธุรกิจออนไลน์ ก็คือ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ได้ จากความโปร่งใสและปลอดภัยของตัวเทคโนโลยี แต่ก็ต้องนำมาดีไซน์การใช้งานให้เข้ากับธุรกิจของเราด้วย

 

 

 

  1. เทคโนโลยีเสมือนจริง VR , AR : เทคโนโลยีเสมือนจริง

เทคโนโลยีเสมือนจริงสองตัว นั่นคือ Virtual Reality และ Augmented Reality ซึ่งสองตัวนี้ถือว่ายังมีปริมาณการนำมาใช้งานจริงที่ไม่มากนัก แต่ถ้าธุรกิจไหนทำได้จะได้เปรียบในเรื่องของการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้า เพิ่มการโต้ตอบและการมีส่วนร่วมของลูกค้า จึงถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งอนาคตเลยล่ะ

 

ตัวอย่างการนำมาใช้งานจริง อย่างเช่น ไนกี้ บริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้ารองเท้ากีฬาระดับโลก ได้สร้างฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Nike Fit ในแอปพลิเคชั่น Nike ที่ให้ผู้ใช้สามารถเปิดกล้องแล้วเล็งไปที่เท้าของเรา จากนั้นแอปฯ จะสแกนขนาดเท้าเพื่อหาขนาดรองเท้าให้เราได้ง่ายๆ อันนี้ก็เป็นการใช้เทคโนโลยี AR ร่วมกับ AI

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *